นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนกล่าวในหัวข้อ “ASEAN as and
Engine of Economic Growth” ว่า ความท้าทายของธุรกิจไทย คือ
การร่วมมือกันในหลายเรื่องเพื่อรักษาความน่าสนใจและการดึงดูดให้เป็นที่สนใจ
ของนักลงทุนต่างประเทศเหมือนที่เคยเป็นมา เช่น
การเปิดตลาดทางการค้าระหว่างกัน การลงทุนข้ามประเทศ
การเคลื่อนย้ายเงินลงทุน
ทั้งนี้ ปัจจุบันการลงทุนทางตรง (FDI) กลุ่มอาเซียนมีทั้งหมด 8
หมื่นล้านเหรียญสหรัฐแต่เงินลงทุนส่วนใหญ่ได้เข้าไปลงทุนในประเทศสิงคโปร์
เป็นอันดับแรกและมาเลเซียเป็นอันดับสอง ส่วนของไทยเป็นอันดับสาม และ 70%
ของเงินลงทุนทางตรงเริ่มเปลี่ยนไปสู่ในธุรกิจกลุ่มบริการ
ซึ่งต่างจากเดิมที่เน้นการลงทุนทางด้านภาคการผลิต เช่น รถยนต์
ซึ่งนั่นหมายความว่าคนอาเซียนต้องการการบริการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพราะมีกำลังซื้อที่มากขึ้น รวมถึงต้องการระบบขนส่ง
การศึกษาหรือสุขภาพที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี มีความเป็นห่วงจากการรวมกลุ่มอาเซียนคือ
ความพร้อมของภาคเอกชนไทยที่กำลังก้าวสู่การแข่งขันบนเวทีโลกเพื่อรับโอกาส
และศักยภาพที่กลุ่มอาเซียนมีอยู่
เพราะประเทศไทยมีความคุ้นเคยและพอใจกับคำว่าแค่นี้
แต่ในเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่สามารถให้ธุรกิจไปโตในต่างประเทศได้
อย่างที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นเป็น
และมาเลเซียกำลังเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เห็นได้จากการลงทุนของกลุ่มซีไอเอ็มบี
จากมาเลเซียที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น
สิ่งที่สามารถจะทาให้ได้ก้าวไปอยู่ในทิศทางการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ
พวกเราต้องฝ่าการเติบโตแบบโมเดลจากคนรุ่นก่อนที่สร้างไว้
เพื่อขออนุญาตให้ขยายไปธุรกิจในต่างประเทศได้
โดยสิ่งหนึ่งคือการที่รัฐควรเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนอย่างจริงจัง เช่น
เอกชนควรได้รับการยกเว้นภาษีในเงินที่นำไปสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา
เพราะปัจจุบันไทยมีเงินสาหรับงานด้านวิจัยและพัฒนาเพียง 0.24%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ขณะที่เกาหลีมีมากถึง 2.8-2.9%
จีนมีเกือบ 2% และญี่ปุ่นอยู่ที่ 4%
ซึ่งหมายถึงการมีงานดีไซน์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์
มีเทคโนโลยี เพราะการที่ไทยไม่พัฒนาจะทาให้ไทยสู้ประเทศอื่นไม่ได้
เพราะมีวิธีการผลิตที่เหมือนกันแต่ประเทศอื่นมีต้นทุนที่ถูกกว่าเช่น
แรงงานต้องไปที่จีนหรือพม่า ดังนั้น
การที่จะให้บริษัทลงทุนในเรื่องของงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
รัฐต้องเข้ามาช่วย กระทรวงการคลังต้องช่วย
บีโอไอต้องช่วยเป็นกลยุทธ์ที่จะต้องปรับ
เป็นโครงสร้างของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และต้องคุมสถานการณ์ให้ได้
อาเซียนกำลังมาเหมือนสึนามิ เรามีความรู้สึกยังไง ต้องรอด คนไทยเก่งพอ
ผมเชื่อแบบนั้น หลายประเทศอยู่หลังเรา เราไปก่อนเขาหลายเรื่อง
การรวมตัวกันของอาเซียนจะไม่เกิดปัญหาเหมือนยูโรโซน
เพราะเราไม่มีแนวคิดที่จะใช้เงินสกุลเดียวกัน อาจจะมีผลกระทบบ้าง
หากเศรษฐกิจในบางประเทศมีปัญหา เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2540
ที่ค่าเงินไทยมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคต่อ
แต่วิกฤตยูโรโซนครั้งนี้ไม่รุนแรงและเชื่อว่าแต่ละประเทศสามารถประคับประคอง
ได้ ส่วนไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงคือเรื่องที่จะมีนักเที่ยวมาไทยน้อยลง
ส่งออกได้น้อยลงและกลุ่มยุโรปจะเข้ามาลงทุนในไทยน้อยลง
ประทีป ตั้งมติธรรม ในฐานะอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย
กล่าวในงานสัมมนา การส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศของภาคเอกชนไทย ว่า
ปัจจุบันจะเห็นบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมากแต่พบว่าจำนวน
บริษัทไทยไปลงทุนต่างประเทศยังไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่
อุปสรรคสำคัญน่าจะมาจากข้อจำกัดหลายๆด้าน คือ
1.ข้อจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
2.กฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นอุปสรรค และ 3.ความเข้าใจกฎหมาย
ประเพณีท้องถิ่นระหว่างกันยังมีไม่มาก
ปัจจุบันสานักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อยู่ระหว่างการแก้ข้อจำกัดรวมถึงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการไปลงทุนยังต่างประเทศทั้งทางตรง
และลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของไทย
ทั้งนี้ เชื่อว่าภาคเอกชนของไทยมีความเข้มแข็งทางการเงินในระดับสูง
ทาให้มีความพร้อมในการลงทุน
โดยในแง่ของต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.)
ส่วนใหญ่ในขณะนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ MLR-2%
ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนวิกฤตต้มยากุ้งอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 13%
ถือว่ามีความพร้อมในด้านการลงทุนได้อีกมาก
นอกจากนี้กรณีภาครัฐจะลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปีนี้
และปีหน้าเหลือ 20%
จะทาให้ภาคเอกชนของไทยมีเงินทุนเหลือในการพิจารณาไปลงทุนยังต่างประเทศ
ที่มา : พนิตศรณ์ หวังจงชัยชนะ โพสต์ทูเดย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น