หากมองไปที่ผลสำรวจระดับความตื่นตัวของรัฐสมาชิกอาเซียน
10 ประเทศ เวียดนามถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีผลสำรวจแต่ละครั้งอยู่ในลำดับต้นตลอด
คือติดอยู่ 1 ใน 3 จาก 10 ประเทศ
ขณะนี้ต้องยอมรับว่าคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในเวียดนามทั้ง 58 จังหวัด และอีก 5
เทศบาลนคร โดยเฉพาะในนครฮานอยและนครโฮจิมินห์
มีทัศนคติค่อนข้างดีและมีการปรับตัวทางการศึกษาอย่างคึกคัก
เหตุผลสำคัญคือกลุ่มคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ในเวียดนามค่อนข้างมั่นใจว่าการศึกษาและทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
เป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อชีวิตและสถานะของครอบครัว อีกทั้งจะเป็นประตูสู่ความสำเร็จที่จะนำตัวเองไปสู่โอกาสทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย
การศึกษาไทยเองก็ต้องให้ความสำคัญจุดนี้ให้มากด้วยเช่นกัน
เพราะหากเทียบทักษะคนหนุ่มสาวไทย-เวียดนามที่อยู่ในช่วงระดับเดียวกันแล้ว
คนไทยหาได้เปรียบอยู่มากไม่ เมื่อพิจารณาจากการใช้ภาษาอังกฤษเป็นเกณฑ์ในการวัด
ราชอาณาจักรไทยเองในฐานะประเทศร่วมก่อตั้งอาเซียน
ต้องลงทุนเรื่องมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมให้มาก
งบประมาณต้องตั้งไว้อย่างเพียงพอเพื่อผลิตบุคลากรด้านนี้ให้ทันใช้งานในเวทีแข่งขันข้างหน้าที่การเปลี่ยนแปลงจะมีอยู่สูง
ความสามารถในการใช้ภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
ที่ถูกกำหนดให้เป็นภาษากลางของอาเซียน
เป็นเรื่องที่คนไทยในฐานะพลเมืองอาเซียนไม่สามารถหลีกเลี่ยง ดังนั้น
การไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้งานได้
ย่อมหมายความว่าความสามารถที่มีในการแข่งขันหดหายไปด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่สำคัญการอุดมศึกษาไทยต้องมีกระบวนการปรับเปลี่ยนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เทคโนโลยี อย่างมียุทธศาสตร์ด้วย ตัวอย่างนโยบายการศึกษาประชาคมอาเซียน
ที่ประชาชนจับต้องได้และรัฐบาลน่าจะทำให้เป็นจริงเป็นจัง อย่างเช่น
นโยบายภายใต้ความรับผิดชอบของ รมช.ศึกษาธิการ (นายศักดา คงเพชร)
ที่ตั้งใจขับเคลื่อนมาตรฐานการศึกษาตามโครงการส่งเสริมให้ครูไทยไปฝึกอบรมภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน
เพื่อทำให้บุคลากรครูมีความตื่นตัว
เกิดการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนนักเรียนและครูในอาเซียน
ที่สำคัญคือนโยบายนี้จะทำให้เกิดการยอมรับในคุณสมบัติร่วมกันทางการศึกษาของภูมิภาคสู่การมีความพร้อมในการเปิดเสรีการศึกษา
ตลอดจนการแสวงหาแนวทางใหม่ๆ
ในการยกระดับมาตรฐานการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของอาเซียนให้สูงขึ้น
อ่านต่อ:
http://www.thai-aec.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น